วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2551
การสัมมนาเกี่ยวกับ Helvetica film
วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2551
สัมมนาครั้งที่ 3
ผลงานหนังสือ
- The End of Print : The Graphic Design of David Carson
- David Carson : 2nd sight
- Fotografiks
- Trek : David Carson,Recent work
ผู้มีอิทธิพลของ Graphic Designer จนถึงทุกวันนี้
Newsweek magazine ได้กล่าวว่าเขาเป็นผู้เปลี่ยนแปลงรูปโฉมของงานทางด้าน Graphic Design
เขาได้รับการยกย่องว่าเป็น “Single Handedly”
เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นนักออกแบบอัฉริยะ
1.มีกลุ่มเป้าหมายเป็นเด็กวัยรุ่น กับ คำๆนี้ “the bibble of music+style”
2.Design Language ได้แก่ radical, subversive, revolutionary และ innovation
3.เนื้อหามีการวิเคราะห์เกี่ยวกับ การมีอยู่ของ media และโครงสร้างของงานออกแบบ
4.แบ่งทำงานกันเป็นหลายฝ่าย (many hands) เช่น type designers, graphic designers,photographers และ illustrators โดยให้ความอิสระ(freedom)ทางด้านการออกแบบ
5.ลักษณะงานเป็นแบบ Post-Modern
1. คำว่า“the bibble of music+style” เป็นคำที่ดึงดูดใจต่อ David Carsonสำหรับทำงานออกแบบ
2. David Carson จัดการกับงานออกแบบในลักษณะ fully-formedซึ่งมีรูปแบบ chaotic, abstract style
3. The graphic design เป็นกุญแจตัวสำคัญที่ท้าทายความคิดสำหรับการอ่านได้อย่างชัดเจนและการตั้งคำถามกับชิ้นงานออกแบบ
เอมี่เขาเป็น Graphic designer
ประวัติ
เกิดในค.ศ.1957ในคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ
เรียน
Graphic design ที่มหาวิทยาลัยซินซินนาตี้
Architect ศิลปะและการวางแผน
ทำงาน
-ค.ศ.1990 เข้าร่วมที่เพนตาแกรม
-เป็นบรรณาธิการร่วมของtree looking Closer graphic design anthologies
-ค.ศ.1988-1990 เป็นประธานบริษัทของ The New York Chapter of the America Institute of Graphic Arts(AIGA)
ค.ศ.1989 เป็น the Alliance Graphique International
ค.ศ.2003 เป็นผู้กำกับศิลป์ Club Hall of Fame
และยังมีงานประเภทอื่นๆอีกมากมาย
ต่อ
Stefan Sagmeister
- ในความคิดของสเตฟาน แซกไมสเตอร์ กราฟฟิกดีไซน์ คือภาษาพิเศษที่มีพลังดึงดูดผู้คนได้ในเวลาอันสั้น ฉะนั้นเขาจึงให้ความสำคัญกับทุกรายละเอียดของการออกแบบ ตั้งแต่ความหมายไปจนถึงรูปแบบและวิธีการนำเสนอ
- ประสบการณ์และผลงานในชีวิตของเขา
1. การออกแบบเพื่องานดนตรี
2 การออกแบบเพื่อสังคม
3. การออกแบบสำหรับองค์กร
4. การออกแบบให้ศิลปิน
5. ออกแบบอย่างนักประพันธ์
- ในช่วงก่อนปี ค.ศ. 2000 แซกไมสเตอร์ อิงค์ ทำงานออกแบบให้กับอุตสาหกรรมดนตร�เป็นหลัก - ในช่วงใกล้สิ้นสหัสวรรษที่ผ่านมา แซกไมสเตอร์หันมาให้ความสนใจกับการออกแบบเพื่อสังคมเขาเลือกที่จะหันหลังให้ธุรกิจและอุทิศเวลาหนึ่งปีเต็ม (ปี ค.ศ. 2000) ให้กับการทดลองด้านการออกแบบของตนเองและเพื่อนๆ
- หลังจากปี ค.ศ. 2000 เป็นต้นมา แซกไมสเตอร์กลับเข้าสู่โลกธุรกิจ และแซกไมสเตอร์ อิงค์ ก็กลับสู่ความนิยมอีกครั้ง - ในช่วงหลัง ๆ เขาใช้ถ้อยคำและภาษาในงานออกแบบมากข�้นแซกไมสเตอร์จดบันทึกเรื่่องราวเพื่อย้ำเตือนสิ่งที่คิด และอยากทำอยู่เสมอ ซึ่งข้อความในสมุดบันทึกเหล่านี้เองที่กลายมาเป็นผลงานออกแบบชั้นโบว์แดงเขาในเวลาต่อมา
- Stefan Sagmeister เกิดในปี 1962 ที่เมือง Bregenz ประเทศออสเตรีย ครอบครัว Stefan Sagmeister ทำธุรกิจเกี่ยวกับการออกแบบแฟชั่น
- Stefan Sagmeister ได้เข้าศึกษาในโรงเรียนประจำท้องถิ่นที่เกี่ยวกับวิศวกรรม จากนั้นในปี 1981 Stefan Sagmeister ได้ย้ายไปเรียนกราฟฟิกดีไซน์ที่ Vienna University of Applied Arts จบการศึกษาปริญญาปีชั้น 1 ในปี 1985
- ต่อมาเขาได้เริ่มต้นใช้ชีวีตที่ New York - ในปี 1987 เขาได้ในทุนการศึกษาเพื่อเข้าไปเรียนที่ Pratt Institute และเขาได้กลับบ้านเกิดที่Vienna อีกครั้งเพื่อรับใช้ชาติเขาได้เกณฑ์ทหารและได้ทำงานในเขตผู้ลี้ภัยและได้ออกแบบโปสเตอร์สำหรับงานเทศกาล Nickelsdorf jazz - ย้ายไปอยู่ที่ Hongkong ในปี 1991 เพื่อเข้าไปทำงานในบริษัทของ Leo Burnett
- ในปี1992 ได้มีคนมาโต้วิภาควิจารณ์งานประกวดโปสเตอร์ของเขาที่เชื่อว่า bum-bearing 4As
- ในปี 1993 เขาได้กลับไปที่ New York อีกครั้ง เพื่อทำงานกับ Tibor Kalman ที่บริษัทM&Co หลังจากนั้นอีก6เดือนต่อมา Kalman ได้ปิดบริษัทM&Co ลงไป แต่เขาก็ได้เปิดสตูดิโอของตัวเองขึ้นมา- ในปี 1994 เขาได้คิด Identity ให้บริษัทลูกพี่ลูกน้องของเขาที่ชื่่อ Martin’s jeans stores - เขาได้เสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่ง Grammy Award จากปกอัลบั้ม H. P. Zinker’s Mountains of Madness -ในปี1995 ก็ได้ร่วมมือกับ David Byrne ซึ่่งได้ออกแบบปกอัลบั้มของ David Byrne - ในปี 1996 เขาก็เริ่่มวางแผนทำปกอัลบั้ม set the Twilight Reeling ให้กับ Lou Reedโดยการทำโปสเตอร์ซึ่่งเขียนเนื้อร้องที่แสดงถึงบุคลิกของวง ผ่านใบหน้าของนักร้อง - นอกจากนั้นในปีนี้เขาได้รับชื่่อเสียงคู่กับงานโปสเตอร์ของ AIGA ที่มีชื่่อว่า Fresh Dialogue talks - ในปี1997เขาก็ได้ออกแบบโปสเตอร์ของ AIGA ที่มีชื่่อว่า Headless Chickenและเขายังได้ออกแบบกราฟฟิกสำหรับ David Byrne’s Feelings และ Rolling Stones’ Bridgesto Babylon
- ในปี1999 Sagmeister ได้เอามีดสลักข้อความทั่วตัวของเขา สำหรับบรรยายใน AIGA ที่Cranbrook ใกล้กับ Detroit เพื่อสื่อถึงตัวตน และการทุ่มเททำงานของเขา
- ในปี 2000 Sagmeister ได้หยุดทำงานในปีนี้ เพื่อวางแผนทำงานทดลองงานต่างๆ และในปี2001 เขาก็ได้เปิดสตูดิโอของเขาอีกครั้ง เพื่อจัดพิมพ์หนังสือของเขา ที่มีชื่่อว่า “Made YouLook”ซึ่่งเป็นหนังสือที่ผู้คนต่างกล่าวขวัญกันอย่างแพร่หลาย
- ในปี 2003 เขาได้ออกแบบโปสเตอร์ Adobe Design Achievement Awardsโดยการนำถ้วยกาแฟมาวางเป็นรูปถ้วยรางวัล
- ในปี 2003 เขายังได้ทำโปสเตอร์ On A Bingeโดยใช้ตัวเองเป็นสื่อวิพากษ์บทบาทของดีไซเนอร์ และการบร�โภคอย่างไม่ลืมหูลืมตา
- ในปี 2004 เขาได้ไปเป็นวิทยากรที่ Berlin และเขายังได้เผยความลับของ “Trying to look good limits my life” ซึ่่งเป็นเรื่่องราวในภาพต่างๆ
- ในปี 2005 เขาได้ออกแบบ Boxed Set ที่พูดในหัวเรื่่อง Once in a Lifetime ซึ่่งได้รับรางวัลจาก Grammy Award และปีนี้เขาก็ไดเออกแบบ กล่องใส่โปสการ์ดให้ the guggenheim museum ที่ Berlin ซึ่่งแฝงคติถึงความทะนงตัวโดยการตัวโดยการติดฟอยด์สะท้อนที่ด้านขวาเพื่อสะท้อนอีกครั้่งหนึ่งของคำว่า vanity
- มีงานอื่นๆ ที่ stefan ไม่ต้องใช้ตัวตนตัวเองมาแสดงในผลงานแต่เป็นงานที่ดี และมีผลกระทบต่อสังคม ซึ่่งเป็นงานที่ทำเพื่อแสดงความห่วงใยต่อสังคม ซึ่่งว่าจ้างโดย เบน โคห์น กับนักธุรกิจชั้นนำคนอื่นๆ ซึ่่งตั้งเป้าหมายให้รัฐบาลลดงบประมาณการทหาร 15% แล้วนำไปเพิ่มให้กับงบการศึกษา และสาธารณสุข
เต้
Josef Muller Brockman
Gotham Family.
ตัวอย่างของ Gotham Typeface ในสื่อต่างๆ
Neon channel letters.
Truck lettering.
แคมเปนจ์การหาเสียงของ Barack Obama นั้นก็ใช้ตัวอักษร Gotham อย่างสม่ำเสมอ Brian Collins นักออกแบบกราฟฟิก ก็มองว่าการเลือกใช้ตัวอักษรนี้เพื่อโปรโมตธีม “การเปลี่ยนแปลง” นั้นก็เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง
หมิว
ต่อมาช่วงกลางๆ ปี ค.ศ.1970 ระบบกริดเริ่มเป็นมารตฐานของนักออกแบบ ในยุโรปและช่วงต้นๆปี ค.ศ.1980 มีการเริ่มคิดระบบ Grid แบบใหม่ นักออกแบบเริ่มมีการทดลองเกี่ยวกับ Grid แบบใหม่และ ก็มีกระแสต่อต้าน เกี่ยวกับ Grid และหลังจากนั้นนักออกแบบก็เริ่มไม่ใช้ Grid ในการออกแบบ ต่อมาก็มีแนวคิด Postmodernism
The Library
กับการพัฒนาการของการประดิษฐ์เครื่องทำความร้อนโลหะ ทำให้แบบอักษรต่างๆได้ออกใช้นั้น เป็นเครื่องมือที่ก่อให้เกิดงานงานกราฟฟิค และการสื่อสาร ในทุกๆวันนี้ฟอนต์ต่างๆที่สำคัญและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกนั้นมีอิทธิพลของLinotype Library อยู่ด้วย แบบอักษรที่เป็นต้นฉบับ ซึ่งคุณสามารถมองเห็นได้บนคอมพิวเตอร์ของคุณ ไม่ว่าจะในลักษณะOpenType หรือ PostScriptล้วนได้รับการอนุญาตจาก Library นี้ทั้งนั้น ฟอนต์ที่เราใช้หลายๆฟอนต์ทุกวันนี้ยังมีเหล่านักออกแบบที่มีชื่อเสียงหลายคน ที่ยึด Linotype Library เป็นหลักในการออกแบบ และนำมาประยุกต์ใช้กับการออกแบบสมัยใหม่อีกด้วย
1889 Linotype ไดี้รับรางวัล Grand Prix ที่งานWorld Expo ในปารีส
1890 บริษัท Mergenthaler Linotype ก่อตั้งใน Brooklyn,NewYork USA Mergenthaler Linotype & Machinery Ltd. ก่อตั้งที่ Manchester ประเทศ อังกฤษ
1892 เครื่องLinotype จำนวน1000เครื่องเริ่มผลิตในสหรัฐอเมริกา The Rudhard’sche โรงหล่อใน Offenbach. ถูกซื้อโดย Karl Klingspor.
1894 ที่Amsterdam Linotypeเครื่องแรกในยุโรปเริ่มใช้กับการตั้งค่าหนังสือพิมพ์
1895 ก่อตั้ง D.stempel
1896 Mergenthaler Casting Machines ก่อตั้งในเบอร์ลิน เยอรมัน
1898 ในฝรั่งเศสเริ่มใช้เครื่อง Linotype เข้ามาใช้ในการทำหนังสือพิมพ์
1899 Ottmar Mergenthaler ตายขณะอายุ 45 ในBaltimore,USA
1866 Ottmar Mergenthaler เกิดที่ Wurttemberg,Germany May 11th 1854 ผลิตเครื่อง linecasting แรกของโลกในสหรัฐอเมริกา เครื่องนี้ถูกเรียกว่า Blower และต่อมาภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็น Linotype ย่อมาจาก Line of Type
1889 Linotype ไดี้รับรางวัล Grand Prix ที่งานWorld Expo ในปารีส
1890 บริษัท Mergenthaler Linotype ก่อตั้งใน Brooklyn,NewYork USA Mergenthaler Linotype & Machinery Ltd. ก่อตั้งที่ Manchester ประเทศ อังกฤษ
1892 เครื่องLinotype จำนวน1000เครื่องเริ่มผลิตในสหรัฐอเมริกา The Rudhard’sche โรงหล่อใน Offenbach. ถูกซื้อโดย Karl Klingspor.
1894 ที่Amsterdam Linotypeเครื่องแรกในยุโรปเริ่มใช้กับการตั้งค่าหนังสือพิมพ์
1895 ก่อตั้ง D.stempel
1896 Mergenthaler Casting Machines ก่อตั้งในเบอร์ลิน เยอรมัน
1898 ในฝรั่งเศสเริ่มใช้เครื่อง Linotype เข้ามาใช้ในการทำหนังสือพิมพ์
1899 Ottmar Mergenthaler ตายขณะอายุ 45 ในBaltimore,USA
Serif and Sans Serif
แต่ต่างกันอย่างมาก จนสังเกตุได้ชัด ซึ่งเส้นที่บางเราจะเรียกว่า Hairline โดยชื่อตัวอักษรที่เป็นตัวแทนแห่งยุคนี้คือ Bodoni
นั้น มีขนาดเท่ากับเส้นแนวตั้งหรือแนวนอนของตัวอักษร ซึ่งตัวอักษรที่เป็นตัวแทนแห่งยุคนี้คือ Rockwell
-ความแตกต่างระหว่างความหนาและบางของเส้นอักษรอยู่ในระดับปานกลางอักษรมีความหนาไม่ต่างกันมากนัก
-นํ้าหนักโดยส่วนรวมของตัวอักษรอยู่ในระดับปานกลาง
-ยอดบนสุดของตัวอักษรนำ(Capital) จะตํ่ากว่ายอดปลายสุดหางบน(Ascender)
-มีเส้นยึนของฐานและปลายตัวอักษรที่เรียกว่าเชิง (Serif)ซึ่งได้มาจากวิธีการเขียนด้วยปากกาขนนกหรือปากกาปลายแบน
2 แบบTransitonal
ลักษณะเด่น
-แบบดัดแปลงที่พัฒนามาจาก Old Styleไม่ได้อาศัยการเลียนแบบจากการเขียนอย่างเดียวแต่ได้อาศัยเครื่องมือทางการเขียนแบบด้วย
-เส้นแกนหลัก (Stress) อยู่ในแนวตั้งฉากหรือเกือบตั้งฉาก
-เริ่มมีความแตกต่าง Contrast ระหว่างความหนาและบางของเส้นอักษร
-เชิง(Serif)เริ่มมีความชัดและมีลักษณะเป็นมุมเหลืี่ยมบางๆ
3 แบบModern
ลักษณะเด่น
-เป็นแบบตัวดักษรสมัยใหม่
-การอกแบบอักษรมีการนำเครื่องมือเครื่องเขียนเข้ามาช่วย
-เส้นแกนหลัก(Stress)อยู่ในแนวตั้งฉาก
-เชิงอักษร (Serif)จะเป็นเส้นตรงในแนวนอน
-เชิงอักษร (Serif)จะมีความบางมาก ความหนาบางก็จะแตกต่างกันอย่าชัดเจน
-ขานของตัวอักษรค่อนข้าแคบ
ลักษณะเด่น
-เส้นอักษรหนาและมีความแตกต่างเพียงเล็กน้อยระหว่างความหนาและบางของเส้นอักษร
-สัดส่วนกว้างกว่าแบบอื่นๆ
-ขนาดตัวอักษร lowercase สูงใหญ่
-เชิง(Serif)มีความหนาเป็นพิเศษมากกว่าแบบอื่นๆและออกแบบลักษณะของมุมเหลี่ยมที่สูงและหนา5แบบ Sans SerifหรือGothic
ลักษณะเด่น
-รูปแบบเรียบง่าย นิยมใช้อย่างกว้างขวาง
-ได้ตัด Serif ออกไปโดยสิ้นเชิง
ตี๋